วันพุธ, กุมภาพันธ์ 5, 2025

บุรีรัมย์ – มีแต่จุดน่าสงสัย!! พบท่อนไม้เปื้อนเลือดปริศนาอยู่ในสระเดียวกับศพน้องกั้ง

ตร.เผยผลชันสูตร ‘น้องกั้ง’ หูซ้ายมีเลือดไหล ชี้เจอท่อนไม้คล้ายเปื้อนเลือด อยู่ในสระน้ำที่พบศพด้วย

จากกรณี ด.ช.กั้ง อายุ 2 ขวบ 6 เดือน หายตัวไประหว่างอยู่กับตาทวดและยายทวดที่พาไปเก็บมะนาวสวนข้างบ้านใน ต.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา จากนั้น หน่วยกู้ภัยสยามรวมใจปู่อินทร์ นำกำลังรวมกับชาวบ้านกว่า 60 คน ระดมค้นหาตามบ้านญาติและทุกจุดที่คาดว่าน้องกั้งจะหลงไป แต่ไม่พบ กระทั่งต้องใช้ชุดประดาน้ำของหน่วยกู้ภัยช่วยกันงมหาในสระน้ำ ขนาดประมาณ 2 งาน ลึก 2-5 เมตร ห่างจากจุดที่หายตัวไปประมาณ 300 เมตร แต่ยังไม่พบ

ต่อมา ได้นิมนต์พระมา 4 รูป ทำพิธีเปิดทางให้เจอน้องกั้ง พร้อมชี้ไปยังจุดที่น้องกั้งน่าจะอยู่ในสระน้ำอีกที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก และจะพบตัวก่อนเที่ยงวัน ล่าสุดเมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้ (21 มกราคม) ชาวบ้านได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยสยามรวมใจปู่อินทร์ ว่า “พบศพน้องกั้งแล้ว” อยู่ในสระน้ำทางทิศตะวันออก ตามที่พระชี้ก่อนหน้านี้

เมื่อวันที่ 21 มกราคม ร.ต.อ.ศักดิ์ชาย กิตติอุดมพันธ์ รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ส่งศพ ด.ช.จิตติพัฒน์ (สงวนนามสกุล) หรือน้องกั้ง อายุ 2 ปี 6 เดือน ไปพิสูจน์ ภายหลังหายตัวไประหว่างอยู่กับย่าทวดที่พาไปเก็บมะนาวในสวนข้างบ้าน และมาพบกลายเป็นศพอยู่ในสระน้ำห่างจากบ้านไกลกว่า 1 กม.

จากการชันสูตรศพเบื้องต้น พบบริเวณหูซ้ายมีเลือดไหลออกมา ประกอบกับพบท่อนไม้อยู่ในสระน้ำ ลักษณะคล้ายเปื้อนเลือด 1 ท่อน ตรงกับข้อสงสัยของชาวบ้านว่า เด็ก 2 ขวบคงไม่สามารถเดินมาไกลถึง 1 กม.ได้

เจ้าหน้าที่กู้ภัยสยามรวมใจปู่อินทร์ ระบุว่า หลังจากมีการแบ่งสายกันค้นหา เมื่อมาพบศพ ได้ลงไปจับร่างของน้อง พบว่าบางจุดแข็ง แต่บางจุดของร่างกายยังอ่อนนุ่ม ต่างจากคนเสียชีวิตทั่วไปที่ร่างกายจะแข็งภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่น้องกั้งหายไปเกินกว่า 24 ชม.แล้ว สภาพศพกลับนิ่มอยู่

Source :

www.matichon.co.th /region/news_2540806

บุรีรัมย์-ตำนานยอดมวย “นำขบวน หนองกี่พาหุยุทธ” ป่วยมะเร็ง

0

วอนแฟนมวยส่งกำลังใจ ให้ นำขบวน หายป่วยมะเร็งปอด

“เจ้าเพียว” นำบวน หนองกี่พาหุยุทธ อดีตนักมวยไทยชื่อดัง ยุคศึกวันทรงชัย มีอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด หลังแพทย์ตรวจพบระยะที่ 4 เจ้าของฉายา “จอมไถนา” ปัจจุบันวัย 48 ปี เปิดใจ สาเหตุน่าจะมาจากการสูบบุหรี่จัด และดมกลิ่นควันอันเกิดจากกิจการทำร้านหมูกระทะในอดีตหลังเลิกแขวนนวม ทั้งนี้เจ้าตัวเผยว่า อยู่ระหว่างการรักษาและต้องเข้าพบแพทย์ที่ โรงพยาบาลมหาราชทุกวัน พร้อมยืนยันกำลังใจยังเข้มแข็ง “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ขอขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง”



นำขบวน หนองกี่พาหุยุทธ มีชื่อจริงคือ คำเพียว ศรีจันทึก ชื่อเล่น เพียว เกิดปี พ.ศ. 2516 ที่ ต.ทุ่งกระดานพัฒนา อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ ปัจจุบันอยู่ที่ จ.นครราชสีมา เป็นน้องชายของ “ขุนเข่าหน้าเปื่อย” นำพล หนองกี่พาหุยุทธ ผู้เคยโดนศอกแม้ไม้ “ทัดมาลา” จาก สามารถ พยัคฆ์อรุณ จนลือลั่นเป็นตำนาน



นำขบวน นักชกรูปหล่อหน้าคม เคยทำสถิติไม่น่าจดจำ “แพ้น็อกเร็วที่สุด” เมื่อ 30 ตุลาคม พ.ศ.2533 ด้วยการโดนตวัดฮุคซ้ายหมัดเดียว พ่ายน็อกยกแรกในเวลาเพียง 33 วินาทีให้กับ “ไอ้หนุ่มชีวาส” วังจั่นน้อย ส.พลังชัย มาแล้ว จนทำให้วังจั่นน้อยได้รับฉายาว่า “ไอ้หมัด 33 วิ” จากการพบกันทั้งหมด 4 ครั้ง ผลัดกันแพ้ชนะคนละ 2 ครั้ง



จากนั้นมานำขบวนได้พัฒนาฝีมือขึ้นมา กลายเป็นยอดมวยที่ชกได้สวยงาม และกลายเป็นมวยเอกค่าตัวเงินแสน นำขบวนมีท่าไม้ตายทีเด็ดคือ “ไถนา” คือการจับขาของคู่ชกแล้วไถดันไปข้างหลังให้เสียหลัก จึงได้รับฉายาจากแฟนมวยว่า “จอมไถนา”
นำขบวน หนองกี่พาหุยุทธ เป็นนักมวยหน้าตาดี ถือเป็นหนึ่งในยอดขุนพลคู่บารมีมวยเงินแสนของ “บิ๊กซ้ง” ทรงชัย รัตนสุบรรณ โปรโมเตอร์มือทองสมองเพชร สร้างประวัติศาสตร์โดยเป็นแชมเปี้ยนมวยไทย รุ่นจูเนียร์ไลท์เวต (130 ปอนด์) ของเวทีลุมพีนียาวนานถึง 6 ปี โดยไม่เสียเข็มขัดให้ใคร จนต้องสละตำแหน่งไป และเคยเป็นแชมป์ของสภามวยไทยโลกด้วย โดยมีค่าตัวการชกสูงถึง 260,000 บาทในยุคนั้น



“นนท์ นารายณ์” สุนนท์ จันทร์ศรีทอง สื่ออาวุโสสายมวย ฟื้นความหลังว่า นำขบวน เป็นมวยสไตล์บู๊ดุดัน ต่อยสนุกเอาใจแฟน ผ่านมวยดีร่วมยุคสมัยมามากมาย อาทิ โอเล่ห์ เกียรติวันเวย์, เหนือธรณี ทองราชา,แสงเทียนน้อย ส.รุ่งโรจน์ , เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง ,โอโรโน่ พ.เมืองอุบล ,เมธี เจดีย์พิทัก์ ,บุญหลาย ส.ธนิกุล ,สมรักษ์ คำสิงห์ ฯลฯ เป็นลูกศิษย์ อ.ปราโมทย์ หอยมุกข์ ครูมวยชื่อดัง หลังเลิกแขวนนวม หันไปทำธุรกิจหมูกระทะ ตามอย่างพี่ชาย (นำพล) ใช้ชื่อร้าน “นำพล ย่างเกาหลี” ได้รับความนิยมยุคแรกๆของเมืองไทย ทำเงินรายได้มากมายจนมีฐานะและแยกสาขาออกไปมากมาย ที่ จ.นครราชสีมา

นนท์ เล่าว่า “เมื่อครั้ง ยอดสนั่น สามแคแบตเตอรี่ นักชกรุ่นน้องชิงแชมป์”ว่าง” WBA รุ่น 130 ปอนด์ ชนะคะแนน ลัค วาชิม (มองโกเลีย) ที่ ศาลากลาง จ.นครราชสีมา นำพล และนำขบวน สองพี่น้องได้ขับรถเบนซ์ส่วนตัวมารับ “บิ๊กซ้ง” ทรงชัย เจ้านายเก่าไปทานอาหารหมูกระทะที่ร้านของตัว เผยให้เห็นฐานะหลังเลิกมวยที่มาจากการค้าขายด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน



“สมัยชกมวย นำขบวน เป็นมวยสไตล์ชกสนุก บู๊ดุเดือดทุกครั้ง เป็นเจ้าของต้นตำหรับจอมไถนาอันลือชื่อ แต่ต่อมา แม่ไม้อาวุธเก่าแก่นี้ ถูกมองว่า เป็นลูกเอารัดเอาเปรียบ จนถูกจับมาพิจารณากันใหม่ ให้ไถไม่เกิน 2 ก้าวเท่านั้น และยกเลิกไปในที่สุด สำหรับอาการป่วยของนำพล อาจเกิดจากการสูบบุหรี่จัด หรือการคลุกคลีสูดกลิ่นควันจากการทำร้านอาหารหมูกระทะมายาวนานตามที่เจ้าตัวว่า แต่โดยปกติแล้ว นำขบวนเป็น นักมวยอุปนิสัยดี มีแฟนคลับมากมาย อาการป่วยครั้งนี้เมื่อเป็นข่าวขึ้นมา หลายคนตกใจกันไม่น้อย แต่ปัจจุบันการแพทย์ทันสมัยขึ้น หมอไทยเก่งขึ้น ยังมีทางรักษาเยียวยาให้หายได้ วอนแฟนๆช่วยเป็นกำลังใจให้ นำขบวนหายป่วยในเร็ววัน” สื่อมวยอาวุโส ผู้เคยร่วมยุคสมัยอันรุ่งโรจน์กล่าว

Source:

www.khaosod.co.th /sports/news_5788668

บุรีรัมย์ – เว็บพนันระบาด ตำรวจทลายเว็บพนันออนไลน์บุรีรัมย์มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท

0

เมื่อวันที่ 22 มกราคม ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ผบก.สอท.3 สั่งการให้ พ.ต.อ.นิคม ชัยเจริญ ผกก.3 บก.สอท.3,พ.ต.อ.ศุภวัชร อังคสยาวัฒน์ ผกก.4 บก.สอท.3,พ.ต.อ.พงศ์นรินทร์ เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3

นำกำลังเข้าจับกุมขบวนการเว็บพนันออนไลน์แห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ได้ผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ สมุดบัญชีธนาคารและหลักฐานทางการเงินที่เกี่ยวพันกับเว็บไซต์พนันออนไลน์อีกหลายรายการ

ตำรวจในสังกัด บช.สอท. จึงกระจายกำลังลงพื้นที่สืบหาเบาะแสต่างๆ ต่อมาเจ้าหน้าที่ บก.สอท.3 สืบทราบเบาะแสว่าในพื้นที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ มีขบวนการเว็บไซต์พนันออนไลน์เข้ามาเช่าบ้านพักใช้เป็นที่ตั้งสำนักงาน จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลจังหวัดนางรอง เข้าตรวจค้น พบบ้านหลังดังกล่าวมีรั้วรอบขอบชิด

ภายในแยกเป็นโซนที่พักและโซนที่ใช้ทำงานโดยโซนที่ใช้ทำงานพบชายไทย 3 คน กำลังตอบคำถามลูกค้าผ่านที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จึงแสดงตัวเข้าจับกุม พร้อมตรวจยึดคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ สมุดบัญชีธนาคารและหลักฐานทางการเงินที่เกี่ยวพันกับเว็บไซต์พนันทั้งหมดภายในบ้าน ซึ่งจากการตรวจสอบสมุดบัญชีของกลางเหล่านี้พบยอดเงินหมุนเวียนกว่า 20 ล้านบาท

สอบสวน ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ให้การรับสารภาพว่า ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลหรือแอดมินเว็บไซต์โดยจะมีให้บริการเล่นพนันหลายรูปแบบ อาทิ บาคาร่า และอีกหลายประเภท เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหา“ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือโฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันออนไลน์ โดยไม่ได้รับอนุญาต” ก่อนนำส่ง สภ.นารอง จ.บุรีรัมย์ ดำเนินคดี และเตรียมขยายผลหาเส้นทางการเงินบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันนี้ต่อไป

Source :

www.matichon.co.th /local/crime/news_2542440

บุรีรัมย์ ครูสุดกลั้นเห็นลูกศิษย์นอนท้าลมหนาวกับพ่อแม่ตกงานวอนช่วยเหลือ

บุรีรัมย์ ครูสุดกลั้นเห็นลูกศิษย์นอนท้าลมหนาวกับพ่อแม่ตกงานวอนช่วยเหลือ

ครูสาววัย 33 ปี ไปเยี่ยมบ้านนักเรียนตามแผน ถึงกับน้ำตาคลอ หลังเห็นสภาพบ้านลูกศิษย์ วัย 10 ขวบชั้น ป.4 อาศัยอยู่กระท่อมหลังเล็กกลางแจ้ง อยู่กับพ่อแม่ที่ตกงานจากพิษโควิด-19 ระบุอากาศหนาวขนาดนี้จะอยู่อย่างไร ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีที่นอน ไม่มีผ้าห่อนเพียงพอ

วันที่ 19 ม.ค.64 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องทุกข์จาก นางสาวฐิติมา พลภูเมือง อายุ 33 ปี ครูโรงเรียนบ้านหนองตะโก ต.เขาคอก อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ว่าอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อ หรือผู้ใจบุญมาช่วยเหลือครอบครัวยากจนไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง

จากการตรวจสอบพบเป็นกระท่อมหลังเล็กขนาด 4X4 เมตร ไม่มีเลขที่ ทำด้วยเศษไม้ ปีกไม้ บ้านหลังนี้อยู่ด้วยกัน 3 คน คือพ่อ แม่ และลูกสาววัย 10 ปี เรียนอยู่ชั้น ป.4 โรงเรียนในหมู่บ้าน โดยนางกันแดน สับประโคน อายุ 43 ปี บ้านเลขที่ตามบัตรประชาชน 59 หมู่ 7 ต.เขาคอก อ ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เล่าความเป็นมาว่า

ตนกับสามีมีอาชีพทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯมาโดยตลอด ย้ายไปตามไซต์งานต่างๆ มีลูกติดกับสามีเก่า 1 คน เอาฝากญาติเลี้ยงที่บุรีรัมย์ เมื่อถึงเกณฑ์เรียนหนังสือ จึงเอาไปฝากเรียนที่โรงเรียนสงเคราะห์นางรอง ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ โดยจะมาเยี่ยมเป็นบางครั้งถ้ามีโอกาส

แต่เมื่อช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา จากสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาด ตนกับสามีตกงาน ไม่มีงานทำ จึงตัดสินใจกลับบ้านที่บุรีรัมย์ ไปขออาศัยอยู่กับญาติ เพราะไม่มีบ้านและที่ดินเป็นของตัวเอง

หลังจากนั้นลูกสาวเมื่อทราบว่าแม่มาอยู่บ้าน จึงร้องขอให้แม่ไปรับตัวจากโรงเรียนประจำมาอยู่ด้วยกัน จึงทำตามลูกสาวร้องขอ แล้วมาเข้าเรียนต่อชั้น ป.4 ที่โรงเรียนหนองตะโก ต.เขาคอก อ.ประโคนชัย

ทำให้สถานภาพครอบครัวที่ตนไปอาศัยอยู่ใหญ่ขึ้น จึงตัดสินใจขอออกไปอยู่เป็นต่างหาก เพราะเกรงใจญาติ และขอปลูกกระท่อมบนที่ดินของญาติ ด้วยการขอเศษไม้ของชาวบ้านมาทำเป็นหลังหลบฝนหลบแดดมาได้ประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา ตอนนี้หารับจ้างทำงานทั่วไป เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว

ด้านนางสาวฐิติมา พลภูเมือง ครูประจำชั้น ด.ญ.เก๋(นามสมมุติ) กล่าวว่า ได้มาเยี่ยมครอบครัวนักเรียนตามแผนเป็นประจำ เมื่อมาเห็นสภาพบ้านแล้ว รู้สึกหดหู่ เพราะบ้านของลูกศิษย์ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีห้องครัว ไม่มีแม้ที่นอน มีเพียงผ้าห่มบางๆ ฝาบ้านมีช่องโหง่ ไม่มิดชิด

ส่วนตัวรู้สึกเป็นห่วงและสงสาร โดยเฉพาะสภาพอากาศที่หนาวเย็นในช่วงนี้ คิดไม่ออกว่าจะนอนกันอย่างไร จึงอยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ใจบุญมาช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของครอบครัวนี้ เพราะลำพังคณะครูมาช่วยเหลือได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ต้องการช่วยเหลือ ติดต่อ ครูแก้ว 085-6382230

/////////////

วาทิตย์ แสนธุปี ผู้สื่อข่าวจ.บุรีรัมย์
คิวภาพ//สภาพบ้าน//ชาวบ้านมาเยี่ยม//เสียงแม่เด็ก//เสียงครู

พี่วินขอร้อง! จยย.รับจ้างบุรีรัมย์วอนรัฐทบทวน “เราชนะ” ชี้ซื้อของผ่านแอปฯ เป๋าตังยุ่งยาก ควรให้เป็นเงินสด

บุรีรัมย์ – พี่วินขอร้อง! จยย.รับจ้างบุรีรัมย์วอนรัฐบาลทบทวนโครงการ “เราชนะ” ที่ใช้ซื้อของผ่านแอปฯ เป๋าตัง ชี้ยุ่งยาก หลายคนทำไม่เป็น ทั้งอยากให้ช่วยเป็นเงินสดโอนเข้าบัญชีแทนการซื้อของเพียงอย่างเดียวมากกว่า เพราะหลายคนจำเป็นต้องใช้เงินสด

วันนี้ (20 ม.ค.) หลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการ “เราชนะ” เพื่อช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดระลอกใหม่ ให้แก่ประชาชน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กลุ่มที่ 2 ผู้ที่เปิดใช้งานแอปพลิเคชันเป๋าตัง และกลุ่มที่ 3 ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ 1 และ 2 โดยกลุ่ม 3 จะเปิดให้ลงทะเบียนผ่าน www. เราชนะ .com ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค.-12 ก.พ. 2564 โดยผู้ที่ได้รับสิทธิทั้ง 3 กลุ่มจะได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน รวมเป็นเงิน 7,000 บาท แต่ไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้ต้องใช้จ่ายสำหรับซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังเท่านั้น

จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้มีอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างที่ จ.บุรีรัมย์ ต้องการให้รัฐบาลทบทวนเงื่อนไขโครงการเราชนะดังกล่าว เพราะเชื่อว่าจะไม่ครอบคลุมและเข้าถึงลำบาก โดยเฉพาะการให้ใช้ซื้อของผ่านแอปฯ เป๋าตังค่อนข้างยุ่งยากเพราะบางคนก็ทำไม่เป็น ที่สำคัญอยากให้รัฐบาลช่วยเหลือเป็นเงินสดด้วยการโอนเข้าบัญชีมากกว่า เพราะสิ่งของบางอย่างที่จำเป็นต้องซื้อมาใช้ในการประกอบอาชีพก็ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ

โดยเฉพาะอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างส่วนมากจำเป็นต้องการเงินเติมน้ำมัน แต่ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือไม่ จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนเงื่อนไขโครงการดังกล่าวด้วยเพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนให้ครอบคลุมและตรงจุดมากกว่านี้

Source : mgronline.com /local/detail/9640000006011

พระวัดดังบุรีรัมย์ เล่าย้อนเหตุการณ์ ‘ลุงพล’ มาทำบุญ แปลกใจไม่กล้าสาบาน แค่ขอพร

พระวัดดังบุรีรัมย์ เล่าย้อนเหตุการณ์ ‘ลุงพล’ มาทำบุญ แปลกใจไม่กล้าสาบาน แค่ขอพร

เมื่อวันที่ 20 มกราคม หลังจากนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ตกเป็นข่าวดังอีกครั้ง เมื่อมีพฤติกรรมเข้าทำร้ายนักข่าว ระหว่างรอสัมภาษณ์ที่ จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา จนโลกออนไลน์ออกมาวิจารณ์กันเป็นจำนวนมากถึงความเหมาะสม หรือเกิดอะไรขึ้นกับตัวลุงพล

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดหงษ์ หรือวัดศีรษะแรด อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นวัดที่ลุงพลเคยเดินทางมาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2563 ครั้งนั้นชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างแห่ไปให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก เพราะคิดว่าลุงพลกล้ามาสาบานความบริสุทธิ์กับวัดหงษ์แห่งนี้ เพราะเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ชื่อดังในด้านคำสาบาน

จากการสอบถามพระเบิกฤกษ์ ฐานุตตโร รักษาการเจ้าอาวาสวัดหงษ์ ได้ออกมาระบุว่า วันที่ลุงพลมา อาตมาคิดว่าจะมาสาบาน จึงเตรียมพิธีให้ แต่ลุงพลปฏิเสธการสาบาน ให้เปลี่ยนมาเป็น “ขอพร” แทน อาตมาก็ทำให้ตามความสมัครใจ หลังจากเสร็จพิธี ลุงพลก็บริจาคเงินใส่ตู้ แล้วเดินทางกลับ ส่วนหนึ่งก็แปลกใจว่าทำไมลุงพล “ไม่กล้าสาบาน”

พระเบิกฤกษ์กล่าวด้วยว่า จริงแล้วใครมีปัญหาในลักษณะแบบนี้ต้อง “สาบาน” อย่างเดียว เพราะหากบริสุทธิ์จริงก็จะเจริญรุ่งเรือง แต่หากไม่เป็นไปที่สาบาน ส่วนใหญ่จะมีอันเป็นไป

เนื่องจากวัดหงษ์แห่งนี้จะเป็นที่รู้จักของคนไทยเกือบทั่วประเทศ ในด้านคำสาบาน รวมถึงชาวต่างชาติที่เดินทางมาทำบุญวัดนี้เป็นประจำเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าหงษ์

นางเตือนใจ แก้วมะดัน อายุ 49 ปี เจ้าของแผงเช่าพระเครื่องภายในวัด กล่าวว่า ตนเปิดแผงพระเครื่องในวัดแห่งนี้มานานกว่า 8 ปี เห็นมามาก สำหรับคนที่มาสาบานแล้วไม่ทำตาม หรือปกปิดความจริง ก็จะมีอันเป็นไปทั้งสิ้น แต่หากสาบานแล้วมาแก้บน ก็จะเจริญรุ่งเรือง

โดยเฉพาะการสาบาน “เลิกดื่มสุรา” วัดนี้จะขึ้นชื่อมาก หากใครผิดคำสาบานก็จะมีอันเป็นไป ส่วนใหญ่จะเสียสติ

https://www.matichon.co.th/region/news_2538851

สธ. เปิดสูตร “ซู่ซ่าร่าเริง” น้ำคั้นกัญชาสดผสมชา! แนะกินแต่น้อย วันละไม่เกิน 5 ใบ

#ข่าวโมโน29 #Mono29News #Mono29


(20 ม.ค. 2564) ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การพัฒนาการเรียนรู้การประกอบธุรกิจจากส่วนของพืชกัญชาและกัญชง ที่ได้รับการยกเว้นจากการเป็นยาเสพติด ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีการสาธิตทำเมนูอาหารพาเพลินจากส่วนผสมของกัญชา
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนึ่งในเมนูที่ได้รับความสนใจอย่างมาก คือ เครื่องดื่มกัญชา “ซู่ซ่าร่าเริง” ซึ่งมีส่วนผสมจากน้ำคั้นกัญชาสดแก้วละ 1 ใบ ผสมชา ซึ่ง ‘นายอนุทิน ชาญวีรกูล’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ทดลองทำเครื่องดื่มดังกล่าวด้วย
.
สำหรับเมนูอาหารจากกัญชาตามภูมิปัญญาเดิม แนะนำให้ใช้ไม่เกินวันละ 5-8 ใบ สำหรับผู้ที่ไม่เคยกินกัญชามาก่อนควรกินในปริมาณน้อย เนื่องจากอาจทำให้อาการวิงเวียน ปวดศรีษะ และหัวใจเต้นแรง หากมีอาการดังกล่าว ควรแก้ด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง
.
‘ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว’ หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า การนำใบกัญชามาเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบอาหาร เป็นวัฒนธรรมคนไทยในการใช้เป็นเครื่องชูรสในอาหาร ใช้เพียง 2-3 ยอดเพื่อให้กินอาหารอร่อยและกินข้าวได้ แต่ต้องคุมปริมาณการบริโภค โดยอาหาร 1 จาน ใส่มากที่สุดต้องไม่เกิน 5 ใบ หรือบริโภคไม่เกินวันละ 5 ใบ หากกินมากไปอาจทำให้รู้สึกตื๊อๆ ใจสั่นได้
.
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ ได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับกัญชา ซึ่งปัจจุบัน รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้เริ่ม “โครงการมาชิมกัญ” โดยนำเมนูอาหารต้นแบบไปเผยแพร่ ให้กับร้านอาหารที่สนใจให้เห็นโอกาส ในการต่อยอดธุรกิจจากกัญชาและกัญชงมีจริง เช่น ก๋วยเตี๋ยว/เกาเหลาหมูตุ๋นอารมณ์ดี เล้งแซ่บซดเพลิน รื่นเริงบันเทิงยำ ข้าวกะเพราสุขใจ น้ำคั้นใบกัญชาสดผสมชา ขนมปังกรอบ คุกกี้ ชอร์ตเบรด เป็นต้น
.
#ข่าวโมโน29 #Mono29News #Mono29

ส.บอลพร้อมเสนอชื่อ “ช้างอารีน่าบุรีรัมย์” เป็นเจ้าภาพคัดบอลโลก

เครดิตภาพ BURIRAM UNITED

กรณีที่เอเอฟซี กำหนดเดดไลน์ให้การแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบ 40 ทีมสุดท้าย ต้องจบลงภายในเดือนมิถุนายน และมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะต้องแข่งขันในสนามเป็นกลาง หากสถานการณ์โควิด-19 ยังคงเป็นปัญหา ล่าสุด นายพาทิศ ศุภะพงษ์ เลขาธิการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เปิดเผยความคืบหน้าในประเด็นนี้ว่า ทางเอเอฟซียังไม่มีคำสั่งเป็นทางการให้แข่งขันในสนามกลาง เพียงแต่ให้แต่ละชาติตกลงกันถึงความเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขัน หากต้องใช้สนามกลางจริง ทางเอเอฟซีจะต้องทำหนังสือไปในยังชาติต่างๆในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพื่อสอบถามว่าชาติใดจะพร้อมรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดแข่งขัน นโยบายดังกล่าว ทำให้พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ได้สั่งการให้ประเทศไทยเตรียมความพร้อม หากต้องมีการยื่นเสนอจัดการแข่งขัน โดยเบื้องต้น ได้เล็งที่จะใช้สนามช้าง อารีน่า จังหวัดบุรีรัมย์ เนื่องจากผ่านสังเวียนระดับนานาชาติมาหลายรายการ อีกทั้งง่ายต่อการควบคุม หากต้องใช้ระบบ “บับเบิ้ล” ในขณะนี้ทาง ศบค.ได้ทราบหลักการเบื้องต้น และคาดว่า เมื่อถึงขั้นตอนการเสนอตัว ประเทศไทย จะพร้อมส่งแผนให้เอเอฟซีได้ทราบโดยเร็วที่สุด

ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เตรียมส่งชื่อ “สนามช้างอารีน่า” ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นสนามกลางใช้จัดฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ในโปรแกรมที่เหลืออยู่

มีรายงานว่า นายธัชกร หัตถาธยากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ มีการเปิดเผยว่า “เตรียมที่จะยื่ยเรื่องให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เสนอชื่อ จ.บุรีรัมย์ และสนามช้างอารีน่า ของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ในโปรแกรมนัดตกค้างที่เหลืออยู่

เนื่องจาก จ.บุรีรัมย์ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และมีมาตรการการป้องกันโรคโควิดอย่างมีมาตรฐาน ประกอบกับความพร้อมทุกด้าน เช่น สนามแข่งขัน, สนามบิน, โรงแรมที่พัก, สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และยังเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอลรายการชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่สนามกีฬาฟุตบอลของของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาแล้วจึงเหมาะสมแก่การเสนอให้ใช้เป็นสนามกลางสำหรับการจัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย กลุ่มจี รอบที่ 2 ต่อไป

ขณะที่ นายพาทิศ ศุภะพงษ์ เลขาธิการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยท่านนายกสมาคมฯได้ให้นโยบายถึงการเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน หากว่าเอเอฟซี มีความต้องการ เราจะได้มีข้อมูลไปให้พิจารณาได้ ซึ่งสมาคมฯ กำลังทำหนังสืออย่างเป็นทางไปถึงจังหวัดบุรีรัมย์เพื่อให้ดำเนินการเตรียมความพร้อมเรื่องนี้

อย่างไรก็ตามตอนนี้เอเอฟซีได้ส่งหนังสือมาให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เพื่อให้ดำเนินการสื่อสารและตกลงกับทีมที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันในฟุตบอลโลก รอบคัดลือก เสียก่อนว่าจะเตะกันแบบเหย้าเยือนได้หรือไม่

โดยอยู่ภายใต้ข้อกำหนดต้องให้การแข่งขันเสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายนนี้ เท่านั้น ซึ่งหากไม่สามารถทำได้ ก็มีแนวโน้มว่าจะต้องเตะกันแบบสนามกลางโดยให้ชาติใดชาติหนึ่งที่มีความพร้อมเป็นเจ้าภาพ เช่นเดียวกับในศึกสโมสรเอเชีย หรือ เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ที่ประเทศกาตาร์เป็นเจ้าภาพนั่นเอง โดย เอเอฟซี ต้องการคำตอบดังกล่าวภายในเดือนนี้ และหากว่าจำเป็นที่จะต้องหาสนามที่เป็นกลางจริงๆ ก็คาดว่าเอเอฟซี จะทำหนังสือสอบถามไปยังชาติต่าง ๆ ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564

บุรีรัมย์ – สุดงง!! หนุ่ม 15 จอดรถติดไฟแดง ถูกรุ่นพี่รุมต่อย จ.บุรีรัมย์

วัยรุ่นสุดงง จอดรถติดไฟแดง ถูกรุ่นพี่รุมต่อย จ.บุรีรัมย์

นักเรียนชายชั้น ม.3 ขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน แต่ขณะที่กำลังจอดติดไฟแดง จู่ ๆ มีรุ่นพี่ขี่รถมาจอดข้าง ๆ แล้วรุมต่อยใบหน้า ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีปัญหากันมาก่อน วอนตำรวจเร่งติดตามตัวผู้ก่อเหตุดำเนินคดี

ชายอายุ 15 ปี สุดงง จอดรถติดไฟแดง ถูกรุ่นพี่รุมต่อย จ.บุรีรัมย์
ชายอายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ร้องเรียนกับทีมสนามข่าวว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา เขาขี่รถจักรยานยนต์ออกจากโรงเรียน เพื่อกลับบ้านที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ระหว่างที่รถจอดติดสัญญาณไฟแดงอยู่ มีรุ่นพี่ต่างโรงเรียน เป็นชาย 2 คน ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์กันมาจอดใกล้ ๆ แล้วเดินมาหา พร้อมตะโกนว่า “นายทำน้องฉัน” จากนั้นก็รุมชกต่อยใบหน้าของชายอายุ 15 ปี ประมาณ 5 หมัด จนตาบวมแดง และแก้มเขียวช้ำ แล้วผู้ก่อเหตุก็ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป

ผู้เสียหายยืนยันว่าไม่รู้จักกับผู้ก่อเหตุมาก่อน และไม่เคยมีปัญหากับใคร คาดว่าน่าจะเป็นการทำร้ายผิดตัว จึงได้ปรึกษากับครอบครัว พร้อมแจ้งความให้ตำรวจ สภ.นางรอง ติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี

Source :

https://news.ch7.com/detail/462734

เตือนภัยชายขี่รถ จยย.ประกบ สาดพริกป่นใส่หน้า จ.บุรีรัมย์

เตือนภัยชายขี่รถ จยย.ประกบ สาดพริกป่นใส่หน้า จ.บุรีรัมย์


อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เช่นกัน มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความเตือนภัย ว่าพี่สาวขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเส้นทางหนองงิ้ว-หนองไทร ตำบลนางรอง อำเภอนางรอง มีผู้ชายขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบ จากนั้นก็สาดพริกป่นใส่หน้า คงหวังให้จอดรถ แต่พี่สาวสู้ทนขี่รถจักรยานยนต์จนถึงบ้านพัก เหตุเกิดช่วงเวลาประมาณ 19.00 น.วันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา

ทีมสนามข่าวเดินทางไปสอบถาม หญิงอายุ 50 ปี ซึ่งเป็นผู้ประสบเหตุ เธอเล่าว่าจังหวะที่คนร้ายขี่รถมาประกบแล้วสาดพริกป่นใส่ เธอมีอาการเคืองตา และแสบใบหน้าเล็กน้อย แต่ก็ฝืนขี่รถต่อ เพราะบ้านอยู่ห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางชายคนก่อเหตุ ยังขี่รถตามไม่หยุด ทำให้มั่นใจว่ามีเจตนาร้ายแน่นอน เธอจึงเร่งเครื่องยนต์ขี่มาจนถึงทางเข้าบ้าน พร้อมกับเปิดไฟเลี้ยว คนร้ายเห็นท่าไม่ดี รีบวกรถจักรยานยนต์กลับไปทันที

หญิงอายุ 50 ปี ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.นางรอง เพื่อให้ติดตามผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี เพราะพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นภัยต่อสังคม เคราะห์ดีที่ครั้งนี้เธอไม่ได้รับอันตรายใด ๆ แต่หากปล่อยไว้ เกรงว่าจะไปก่อเหตุกับบุคคลอื่นอีก และอาจจะได้รับอันตรายขึ้นได้

Source :

https://news.ch7.com/detail/462734